แนะนำเครื่องทำน้ำอุ่น วัตต์ขนาดเท่าไร ถึงเหมาะสมกับการใช้งานในบ้าน

แม้ว่าประเทศไทยจะมีอากาศร้อนแค่ไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลาย ๆ คนเสพติดการอาบน้ำอุ่นเป็นชีวิตจิตใจไปแล้ว เนื่องจากน้ำอุ่นดีต่อระบบหมุนเวียนเลือด ทำให้กล้ามเนื้อที่ตึงคลายตัวลง แถมยังช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี หากใครที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นไว้ในบ้านดีไหม แล้วต้องเลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิธีเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นมาให้ทุกคนหมดแล้ว ตามไปอ่านต่อด้านล่างได้เลย

เครื่องทำน้ำอุ่นมีกี่ประเภท แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร

ก่อนจะไปดูวิธีเลือกเครื่องทำน้ำอุ่น เราต้องรู้ก่อนว่าเครื่องทำน้ำอุ่นมีทั้งหมดกี่ประเภท แต่ละประเภททำงานต่างกันอย่างไร เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของเรามากที่สุด ดังนี้

1. เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊ส

เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊สมีความปลอดภัยสูงพอ ๆ กับเครื่องทำน้ำอุ่นระบบไฟฟ้าหากเป็นเครื่องที่ผลิตได้ตามมาตรฐานกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะเจอได้ตามห้องพักในสถานที่ท่องเที่ยวหรือในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ค่อยนิยมนำมาติดตั้งภายในบ้านสักเท่าไรจึงไม่แนะนำเครื่องทำน้ำอุ่นประเภทนี้ เนื่องจากมีระบบการติดตั้งที่ซับซ้อนและตัวผู้ติดตั้งเองก็ต้องมีความเชี่ยวชาญระดับหนึ่งเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

2. เครื่องทำน้ำอุ่นระบบไฟฟ้า

เครื่องทำน้ำอุ่นระบบไฟฟ้า เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน มาในรูปแบบหม้อต้มและแบบไหลผ่านซึ่งทั้งคู่ทำงานผ่านฮีตเตอร์เพื่อปรับอุณหภูมิน้ำให้สูงขึ้น แบบหม้อต้มจะมีถังเก็บน้ำขนาด 10 ลิตรสำหรับเก็บน้ำร้อนไว้ และเมื่อไรก็ตามที่น้ำร้อนถูกนำไปใช้น้ำเย็นล็อตใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่ทันทีซึ่งเป็นการทำงานวนลูปไปเรื่อย ๆ ส่วนแบบไหลผ่านจะมีหม้อน้ำขนาดเล็กโดยมีขดลวดภายในคอยปรับอุณหภูมิน้ำแบบเรียลไทม์ 

3. เครื่องทำน้ำอุ่นจากพลังงานแสงอาทิตย์

เครื่องทำน้ำอุ่นจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นการอาศัยความร้อนจากรังสีของดวงอาทิตย์โดยตรง เพื่อเปลี่ยนอุณหภูมิน้ำในถังกักเก็บให้ร้อนขึ้น สามารถปรับความร้อนได้สูงสุดถึง 60 องศาเซลเซียส จากนั้นน้ำที่ร้อนแล้วจะถูกส่งจากถังเก็บน้ำเพื่อจ่ายใช้ในครัวเรือน ใครที่มีกำลังทรัพย์มากพอแนะนำให้ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นการลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพียงครั้งเดียวแต่ช่วยประหยัดค่าไฟได้ในระยะยาว

วิธีเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นยังไงให้เหมาะกับการใช้งาน

1. เลือกกำลังไฟของเครื่องทำน้ำอุ่นให้เหมาะกับมิเตอร์ไฟ

ก่อนจะติดตั้งเราต้องดูก่อนว่าเครื่องทำน้ำอุ่นกี่วัตต์ที่เหมาะกับบ้าน เช่น มิเตอร์ไฟฟ้าในบ้านขนาด 5(15)A ต้องใช้เครื่องทำน้ำอุ่นกำลังไฟไม่เกิน 3,500 วัตต์ ​หรือ มิเตอร์ไฟฟ้าในบ้านมีขนาด 15(45)A แนะนำเครื่องทำน้ำอุ่นกำลังไฟไม่เกิน 4,500-6,000 วัตต์​ ข้อสำคัญคือไม่ควรเลือกขนาดเครื่องทำน้ำอุ่นที่มีกำลังไฟฟ้ามากกว่ามิเตอร์ไฟฟ้าเพราะเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ทั้งยังทำให้การใช้งานของเครื่องสั้นลงอีกด้วย

2.เลือกจากระบบการทำความร้อน

ระบบทำความร้อนของเครื่องทำน้ำหลัก ๆ แล้วแบ่งได้ 3 ประเภท ได้แก่

• แบบขดลวดทองแดง : น้ำจะผ่านเข้าไปในตัวเครื่องและไหลผ่านท่อทองแดงหรือขดลวดที่มีความร้อนเพื่อปรับอุณหภูมิของน้ำ ซึ่งข้อดีของเครื่องทำน้ำอุ่นประเภทนี้คือน้ำร้อนเร็วและไม่มีปัญหาเรื่องการรั่วซึมของท่อ

• แบบหม้อต้มทองแดง : เป็นเครื่องทำน้ำอุ่นรุ่นเก่าที่มีทองแดงรูปทรงกระบอกอยู่ภายในเครื่อง เพื่อทำความร้อน ข้อดีคือมีความร้อนคงที่ มีอายุการใช้งานนาน แต่อาจเกิดการรั่วซึมได้ต้องพยายามตรวจเช็กอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัย

• แบบหม้อต้มพลาสติก : เป็นเครื่องทำน้ำอุ่นที่ถูกพัฒนาจากหม้อต้มทองแดง หมดปัญหาเรื่องการรั่วซึม แถมยังช่วยลดการอุดตันของท่ออีกด้วย​ 

3.แนะนำเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นที่มีระบบตัดไฟ

เพื่อความปลอดภัยขณะใช้งาน แนะนำเครื่องทำน้ำอุ่นที่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ ELCB / ELB ซึ่งจะตัดไฟทันทีหากเกิดไฟรั่ว หรือระบบ ELSD ที่ช่วยตัดและต่อไฟให้อัตโนมัติ สามารถสังเกตได้ง่าย ๆ โดยจะมีเขียนติดกำกับไว้บนตัวเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่แล้ว ส่วนมากจะมาพร้อมกับปุ่ม TEST

4.เลือกเครื่องทำน้ำอุ่นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ห้า

วิธีเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นที่มองข้ามไม่ได้เลยก็คือต้องมีฉลากประหยัดไฟเบอร์ห้า เพราะนอกจากเป็นการยืนยันแล้วว่าประหยัดไฟแน่ ๆ หมายถึงเครื่องทำน้ำอุ่นเครื่องนี้ได้ผ่านการทดสอบจากสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (สฟอ.) ด้านพลังงานและด้านปริมาตรมาแล้วนั่นเอง

สรุป

วิธีเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นให้เหมาะกับบ้านที่สุด ประกอบไปด้วยหลายปัจจัยโดยเฉพาะเรื่องของกำลังไฟที่ต้องพอดีกับมิเตอร์ไฟฟ้าในบ้าน หากมากเกินไปก็เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าต่ำเกินไปก็ส่งผลต่อการทำงานที่ไม่ได้ประสิทธิภาพของเครื่องทำน้ำอุ่น ดังนั้น ก่อนติดตั้งแนะนำให้เลือกช่างที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ เพื่อยืดอายุการใช้งานออกไปให้ได้มากที่สุด รวมถึงความปลอดภัยของทุกคนในบ้านอีกด้วย